แหล่งเรียนรู้ในชุมชน
ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง
จังหวัดพิษณุโลก
ข้อมูลทั่วไป
เทศบาลตำบลท่าทอง
ความหมายของตราสัญลักษณ์
ภาพตรา : หงส์ แทนความสง่างาม
ภายในวงล้อมของดาว แทนหมู่บ้าน
อักษรย่อ :
ทต.ท่าทอง
ธง :
พื้นธงสีเหลืองทองขลิบน้ำเงินเข้ม
ดอกไม้
: ดอกปีบ
ต้นไม้
: ต้นมะขาม
ประวัติความเป็นมา
เดิมเรียกบ้านจุฬามณี แต่ต่อมาให้มีการเรียกชื่อ
ตำบล จึงเล่าต่อกันว่าชุมชนนี้เจริญมาก มีการค้าขายข้าวเปลือก
นำลงที่ท่าบ้านจุฬามณีตลอดแนวแม่น้ำน่าน เรือขนข้าวเปลือกล่องขายที่บางกอก และเมื่อขายได้
เงิน ก็จะซื้อทองกลับมาขายกันตามชุมชนริมแม่น้ำน่าน และตำบลใกล้เคียง
สร้างความร่ำรวยและมีฐานะกันถ้วนหน้า ทำให้มีการค้าทองเกิดขึ้นบริเวณท่าน้ำนี้
เวลาจะซื้อทองจะมารอเรือเข้าท่าน้ำแล้วซื้อขายทองกัน จึงสันนิษฐานได้ว่า
ตำบลท่าทอง น่าจะมาจากการค้าขายทองที่ท่าน้ำนี้
สภาพภูมิประเทศ
ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบลุ่ม
มีแม่น้ำไหลผ่าน 1 สาย คือแม่น้ำน่าน
อาณาเขตติดต่อ
ทิศเหนือ ติดต่อกับ ตำบลวัดจันทร์ อำเภอเมืองพิษณุโลก
ทิศใต้ ติดต่อกับ ตำบลท่าโพธิ์ อำเภอเมืองพิษณุโลก
ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตำบลวัดจันทร์และตำบลท่าโพธิ์อำเภอเมืองพิษณุโลก
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตำบลท่านางงาม อำเภอบางระกำ
จำนวนประชากร
จำนวนประชากรในพื้นที่ทั้งสิ้น 12,635 คน แยกเป็น
ชาย 6,168
คน คิดเป็นร้อยละ 48.82
หญิง 6,467
คน คิดเป็นร้อยละ 51.18
จำนวนครัวเรือน 5,303 ครัวเรือน ความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่ เฉลี่ย 533.21
คน/ตร.กม.
วิสัยทัศน์
เทศบาลตำบลท่าทอง : บรหารจัดการดี
มีการพัฒนาที่เข้มแข็ง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
อาชีพ
อาชีพหลักของราษฎรในเขตเทศบาลตำบลท่าทอง ได้แก่
การทำการเกษตร เช่น ทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ รองลงมาได้แก่ อาชีพรับจ้างทั่วไป
เขตการปกครอง
แผนที่ตำบลท่าทอง
สภาพสังคม
ประชากรตำบลท่าทอง มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย
อุปนิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี ตั้งหมู่บ้านอยู่เป็นกลุ่ม
มีความสัมพันธ์กันแบบเครือญาติ ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ
โดยมีวัดเป็นศูนย์รวมของคนในชุมชน
การคมนาคม
ทางหลวงแผ่นดิน
หมายเลข 117 พิษณุโลก-นครสวรรค์
หมายเลข 1508 พิษณุโลก-บางระกำ
หมายเลข 1063 พิษณุโลก-บางกระทุ่ม
แหล่งน้ำในชุมชน
แหล่งน้ำธรรมชาติ
แม่น้ำน่าน
คลองชลประทานสายใหญ่โครงการพลายชุมพล
คลองอ้ายแมว คลองอ้ายแง่ง คลองสุพรรณ
คลองกำนัน คลองลูกนก คลองโพธิ์
หนองตาพูน หนองตลิ่งชัน หนองเรือโกลน
บึงแก่งใหญ่ บึงลุ่ม บึงขวาง
แหล่งท่องเที่ยว
มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ 4 แห่ง คือ
-
วัดจุฬามณี
-
หลวงพ่อขาววัดจูงนาง
-
วังปลาหน้าวัดจูงนาง
-
ต้นมะขามยักษ์
มวลชนจัดตั้ง
-
ลูกเสือชาวบ้าน
-
อปพร.
-
อสม.
กลุ่มอาชีพต่างๆ
-
กลุ่มผ้าด้นมือ
ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ระดับห้าดาวของจังหวัด
-
กลุ่มทำขนมไทยพื้นบ้าน
-
กลุ่มทำขนมจีน
-
กลุ่มเลี้ยงปลาในกระชัง
หน่วยธุรกิจในเขตเทศบาล
ร้านขายของชำ จำนวน 68 แห่ง
ร้านซักรีด จำนวน 11 แห่ง
บ้าน, อพาร์ทเม้นท์, อาคารสถานที่ให้เช่า จำนวน 52 แห่ง
ร้านอาหาร จำนวน 35 แห่ง
ร้านแต่งผมร้านเสริมสวย จำนวน 12 แห่ง
อู่ซ่อมรถจักรยานยนต์, รถยนต์,ประดับยนต์ จำนวน 31 แห่ง
โกดังสินค้า จำนวน 6 แห่ง
โรงแรม จำนวน 2 แห่ง
สถานีบริการน้ำมัน จำนวน 6 แห่ง
โรงงาน จำนวน 2 แห่ง
ห้างสรรพสินค้า จำนวน 1 แห่ง
สำรวจแหล่งเรียนรู้ในชุมชน
พบแหล่งเรียนรู้ในชุมชนที่สำคัญ แบ่งได้ 4 ประเภทดังนี้
1. แหล่งเรียนรู้ประเภทบุคคล
2.
แหล่งเรียนรู้ประเภทกิจกกรม
3.
แหล่งเรียนรู้ประเภทสถานที่และแหล่งธรรมชาติ
4.
แหล่งเรียนรู้ประเภทวัสดุอุปกรณ์
1. แหล่งเรียนรู้ประเภทบุคคล
หมายถึงบุคคลที่มีความรู้ ความสามรถในด้านต่างๆที่สามารถถ่ายทอดความรู้ที่ตนมีอยู่
แก่ผู้ที่สนใจในเรื่องของชุมชนได้ บุคคลดังกล่าว ได้แก่
ภูมิปัญญาเรื่อง: การตัดกระดาษรังผึ้ง
ชื่อ นายเปี่ยม ส่งชื่น อายุ : 78 ปี อาชีพ: ตัดกระดาษรังผึ้งในพิธีต่างๆ
ที่อยู่ เลขที่ 221 หมู่ที่ 6
ตำบลท่าทองอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก รหัสไปรษณีย์ 65000
โทรศัพท์ –
ข้อมูลภูมิปัญญาเบื้องต้น
ภูมิปัญญาการตัดกระดาษรังผึ้ง
เพื่อใช้ในการตกแต่งสถานที่งานบุญต่างๆ เช่น งานบวช งานขึ้นบ้านใหม่ นายเปี่ยม ส่งชื่นประกอบอาชีพนี้เป็นเวลานานกว่า
40 ปี ใช้เลี้ยงชีพและส่งเสียบุตรธิดาจนเติบโตมาในทุกวันนี้ภูมิปัญญานี้เกิดจากการเรียนรู้ด้วยตนเองของลุงเปี่ยม
ถือเป็นบุคคลสำคัญระดับประเทศทางด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นได้รับรางวัลต่างๆมากมาย
และมีบทบาทสำคัญใน การอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นถ่านทอดความรู้ให้คนรุ่นหลังต่อไป
นอกจากลุงเปี่ยมจะเป็นปราชญ์ชาวบ้านทางเรื่องการทำพวงเต่ารั้งและรังผึ้งแล้วนั้นยังเป็นผู้ดูแลศูนย์วัฒนธรรมของตำบลท่าทองมาตั้งแต่วัย
19-20 ปี จนถึงปัจจุบัน
เงินค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาของในศูยน์วัฒนธรรมมาจากเงินที่ประชาชนร่วมกันทำบุญถวายกัณฑ์เทศน์มหาชาติที่วัดสว่างอารมณ์
ตำบลท่าทอง
ส่วนลุงเปี่ยมจะไม่ได้เงินจากการดูแลสถานที่แต่อาจจะได้จากสินน้ำใจจากผู้ที่มาขอความรู้
เช่นการอบรมทำกระดาษรังผึ้ง
การทำพวงเต่ารั้ง
วัสดุ/อุปกรณ์
1.
กระดาษว่าว 2แผ่น
2.
กรรไกร
3.
เข็มและด้าย
4.
ไม้ไผ่เหลา
5.
กระดาษแข็ง
6.
กาวลาเท็กซ์
1.พับกระดาษสี่เหลี่ยมจัตุรัสให้เป็นรูปสามเหลี่ยม
แล้วพับครึ่งสามเหลี่ยมนั้นต่ออีก 2 ครั้ง
หมุนยอดสามเหลี่ยมเอาด้านสัน (ด้านที่เปิดไม่ได้) ไปไว้ทางขวามือ
พับสันทับเข้าไปจนดูคล้ายสามเหลี่ยม 2 รูปซ้อนทับกันอยู่
2.ใช้กรรไกรตัดกระดาษสามเหลี่ยมแบบสลับฟันปลา โดยตัดจากยอดบนลงล่างจนเกือบถึงชายด้านล่างให้มีระยะห่างเท่าๆ กัน คลี่กระดาษออกและใช้กรรไกรเจาะรูตรงกลางกระดาษทั้ง
3 แผ่นเพื่อสอดกระดาษแข็งรูปวงกลมซึ่งร้อยเชือกผูกกับไม้ไว้เรียบร้อยแล้ว
สำหรับทำเป็นไม้แขวน ใช้มือจับแต่งกระดาษที่ซ้อนกันอยู่นั้นให้เป็นทรง รอประกอบ
3.นำกระดาษที่เหลือจากการตัดมาพับทับไปทับมาเหมือนพับพัดจำนวน
3 อัน จากนั้นนำเข้าไว้ตรงกลางไม้ไผ่ที่เหลาแล้วทั้ง 3 อัน แล้วนำด้ายมัดไว้ให้แน่นกันกระดาษไม่ให้หลุดออกจากไม้
4.ตัดกระดาษบนไม้ทั้ง 3 อันเอียงประมาณ 45 องศา ทั้ง 2 ข้าง
จากนั้นทากาวข้างใดข้างหนึ่งแล้วนำมาประกบติดกันและนำกระดาษที่เหลือมาตัดเป็นแฉกไว้ทำเป็นเกสรดอกทานตะวันและใช้พันรอบไม้ไผ่
เสร็จแล้วนำดอกทานตะวันและพวงเต่ารั้งมาประกอบกับโดยใช้ด้ายมัดกับไม้
การทำพวงเต่ารั้งใช้ในงานประเพณีต่างๆเช่น
งานบวช งานแต่งและงานมงคลต่างๆนอกจากนั้นลุงเปี่ยมยังได้ถ่ายทอดความรู้ให้กับนักเรียนในตำบล
และหน่วยงานต่างๆ ให้ได้รับความรู้ และได้รับการยกย่องในตำบลและหน่วยงานต่างๆ
ให้ได้รับความรู้ และได้รับการยกย่องเป็นครูภูมิปัญญาท้องถิ่น
ภูมิปัญญาเรื่อง : การจักรสาน
ชื่อ : นายล้วน
มาทอง อายุ : 76 ปี อาชีพ : พ่อบ้าน
ที่อยู่ เลขที่ 124/2 หมู่ที่ 8 ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก รหัสไปรษณีย์ 65000
โทรศัพท์
055-283248
ข้อมูลภูมิปัญญาเบื้องต้น
ภูมิปัญญาการจักรสานนี้ นายล้วน มาทอง
ได้การสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลที่ ชอบใน การเลี้ยงไก่ชน
จึงทำการสานสุ่มไก่ไว้ใช้งาน ปัจจุบันมีการทำการส่งไปยังแหล่งต่างๆที่ทำ การขายอุปกรณ์ การจักรสานและมีการนำไปประยุคต่างๆมากมาย
เช่น วงพาณิชย์ได้สั่งนำไปให้ พนักงานคัดแยกขยะที่ รีไซเคิลได้ เป็นการสร้างรายได้เสริมที่ดีอีกทางหนึ่ง
2.
ภูมิปัญญาเรื่อง : การทำนา
ชื่อ : นายบุญเรือง คล้ายพันปี อายุ : 78 ปี อาชีพ : เกษตรกร (ทำนา)
ที่อยู่ : เลขที่ 100/1 หมู่ที่ 6 ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง
จังหวัดพิษณุโลก รหัสไปรษณีย์ 65000
โทรศัพท์ –
ข้อมูลภูมิปัญญาเบื้องต้น
เนื่องจากนายบุญเรือง คล้ายพันปี
ได้ทำการสืบสานอาชีพการทำนามาตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน เป็นอาชีพที่ทางบรรพบุรุษทำมาตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน
จึงมีความเชี่ยวชาญในการทำ
การเกษตร(ทำนา) และได้มีการสานต่อให้บุตรได้รู้จักการทำนา
เพื่อสืบสานอนุรักษ์ไว้
ภูมิปัญญาเรื่อง : ขนมไทย
ชื่อ : นางชิ้น อัศวภูมิ อายุ : 63 ปี อาชีพ : แม่บ้าน
ที่อยู่ : เลขที่ 101/2 หมู่ที่ 6 ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง
จังหวัดพิษณุโลก รหัสไปรษณีย์ 65000
โทรศัพท์ –
ข้อมูลภูมิปัญญาเบื้องต้น
นางชิ้น อัศวภูมิ มีความสามารถในการทำขนมไทยในหลายๆชนิด ทำขนมขายเป็นงาน อดิเรก รสชาติขนมมีความเป็นไทยดั่งเดิม
มีการสืบสานต่อให้บุตรหลายได้ทำขาย และเป็นวิทยากร สำคัญในการ สาธิตให้เด็กเล็กได้รับรู้ ร่วมอนุรักษ์ขนมไทย
ภูมิปัญญาเรื่อง : ขนมไทย
ชื่อ : นางสุนิตย์ วัสสุตะมะ อายุ : 57 ปี อาชีพ : แม่บ้าน
ที่อยู่ : เลขที่ 127/2หมู่ที่ 8 ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง
จังหวัดพิษณุโลก รหัสไปรษณีย์ 65000
โทรศัพท์
: 081-8877278
ข้อมูลภูมิปัญญาเบื้องต้น
เป็นภูมิปัญญาที่สร้างอาชีพให้กับชุมชน เป็นสินค้า OTOP ระดับ 5 ดาว มีการผลิตส่งออก มากมาย เป็นสินค้าขึ้นชื่อของตำบล และจังหวัด
มีการสืบสานถ่ายทองภูมิปัญญาให้บุตร และ ชาว บ้านผู้สนใจ
เพื่ออนุรักษ์ไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้
ภูมิปัญญาเรื่อง อาหารพื้นบ้าน
ชื่อ : นางลำเพย เหียงแก้ว อายุ
: 57 ปี อาชีพ :
แม่บ้าน
ที่อยู่ : เลขที่ 101 หมู่ที่ 6 ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง
จังหวัดพิษณุโลก รหัสไปรษณีย์ 65000
โทรศัพท์
-
ข้อมูลภูมิปัญญาเบื้องต้น
นางลำเพย เหียงแก้ว
เป็นผู้ความรู้ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นทางด้านอาหารพื้นบ้าน เป็น วิทยากร สาทิตการทำอาหารไทยเด็กๆในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
และเป็นผู้มีความรู้การปรุงอาหารไทย ให้กับชุมชน เมื่อมีงานการกุศลต่างๆ
ภูมิปัญญาเรื่อง : งานใบตอง
ชื่อ : นายเกียรติสกุล
กันแตง อายุ : 26 ปี อาชีพ : ธุรกิจส่วนตัว
ที่อยู่ : เลขที่ 173/2 หมู่ที่ 6 ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก รหัสไปรษณีย์ 65000
โทรศัพท์
: 092-1924660
ข้อมูลภูมิปัญญาเบื้องต้น
เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีการถ่ายทอดมาจากผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน
ในการจัดทำบายศรีใน งานพิธี มงคลต่างๆ
ถือเป็นการอนุรักษ์ประเพณีไทยให้คงอยู่สืบไป และเป็นอาชีพหลักที่สร้าง รายได้อย่างดี
ภูมิปัญญาเรื่อง : ร้อยมาลัย
ชื่อ : นางระเบียบ บัวอ่อน อายุ
: 57 ปี อาชีพ :
ค้าขาย
ที่อยู่ : เลขที่ 184/1 หมู่ที่ 8 ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง
จังหวัดพิษณุโลก รหัสไปรษณีย์ 65000
โทรศัพท์
-
ข้อมูลภูมิปัญญาเบื้องต้น
เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่สืบทอดกันมา ทำเป็นอาชีพในการขายพวงมาลัยไม่ว่าจะเป็นงาน
พิธีต่างๆ หรือขายทั่วไป
เป็นภูมิปัญญาที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสมัย มีการคิดค้นวิธีทำให้หลากหลายรูป แบบอยู่ตลอดเวลา
มีความประณีตในการร้อยมาลัย และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นหลัง
2. แหล่งเรียนรู้ประเภทกิจกกรม
หมายถึง กิจกรรมด้านประเพณี วัฒนธรรม การละเล่นพื้นเมือง
และพิธีกรรมต่างๆ ในตำบลท่าทองง อำเภอ เมือง จังหวัดพิษณุโลก ผลการสำรวจพบแหล่งเรียนรู้ประเภทกิจกรรม
ได้แก่
ประเพณีสงกรานต์รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ
สงกรานต์เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณ
เป็นประเพณีส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่
พิธีสงกรานต์เป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในสมาชิกในครอบครัวหรือชุมชนบ้านใกล้เรือนเคียง
ในความเชื่อดั้งเดิมใช้สัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบหลักในพิธี ได้แก่
การใช้น้ำเป็นตัวแทนแก่กันกับความหมายของฤดูร้อนช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ
ใช้น้ำรดให้แก่กันเพื่อความชุ่มชื่นมีการขอพรจากผู้ใหญ่การรำลึกและกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับ
ปัจจุบันพิธีที่ดีงามยังคงอยู่คือพิธีรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ
ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ดีงามให้ประชาชน เยาวชน และคนรุ่นหลัง เห็นความสำคัญของประเพณีสงกรานต์
การรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุนั้น
เป็นการแสดงมุทิตาจิตและคารวะต่อผู้ใหญ่ที่เคยมีพระคุณและทำประโยชน์ให้แก่บ้านเมือง
ควรที่เยาวชนและคนรุ่นหลังต้องให้ความเคารพนับถือ
อันเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีและสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีซึ่งเป็นวิถีชีวิตและขนบธรรมเนียมอันดีงามของไทย
ให้คนไทยได้เห็นคุณค่าและอนุรักษ์วัฒนธรรมอันเป็นมรดกเก่าแก่ของไทยให้คงอยู่สืบไป
เทศบาลตำบลท่าทององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ที่มีอำนาจหน้าที่ในการบำรุงรักษาศิลปะ
จารีตประเพณีภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่น และมีภาระหน้าที่ในการดูแลให้การสงเคราะห์คนชราและผู้ด้อยโอกาสในสังคม
ซึ่งสอดคล้องกับการจัดประเพณีสงกรานต์ที่ต้องดำเนินการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีกิจกรรมที่ดีงามและถูกต้องของประเพณีที่กำลังจะเลือนหาย ให้คงอยู่ในชุมชนต่อไป รวมทั้งการส่งเสริมให้ประชาชนในตำบลได้เห็นคุณค่าของผู้สูงอายุ
ซึ่งเป็นผู้มีพระคุณในชุมชนแต่ละชุมชน
จะเป็นการปลูกฝังค่านิยมอันดีงามให้กับประชาชนในท้องถิ่น
ได้มีแบบอย่างที่ดีและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีให้กับคนในตำบล
จึงทำจึงได้จัดทำโครงการจัดงานประเพณีสงกรานต์รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุตำบลท่าทองขึ้น
โดยมีกิจกรรมต่างๆที่เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ที่ดีงาม
การรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุแต่ละหมู่บ้าน จำนวน 11ตลอด จนปูชนียบุคคลที่ควรนับถือ กิจกรรมประกวดก่อพระเจดีย์ทราย สงฆ์น้ำพระ
รวมทั้งจัดกิจกรรมให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุในตำบล ด้วยการจัดกิจกรรมการประกวดต่างๆอีกครั้ง
ผู้สูงอายุจะเป็นผู้บอกเล่าการอนุรักษ์ประเพณีสงกรานต์ที่ถูกต้องแต่โบราณให้ลูกหลานได้ร่วมสืบสานผ่านการประกวดต่างๆรวมทั้งเพื่อให้ประชาชนในตำบลท่าทองได้เล็งเห็นคุณค่าของผู้สูงอายุและร่วมกันดูแลผู้สูงอายุผู้สูงวัยไม่ทอดทิ้งบุคคลสำคัญในตำบลตลอดไป
กิจกรรมในงาน
1.
จัดพิธีสงฆ์ในช่วงเช้า ทำบุญตักบาตร ข้าวสารอาหารแห้ง
ฟังพระสงฆ์เทศนาเกี่ยวกับ ความสำคัญของประเพณีวันสงกรานต์
รวมทั้งจัดการประกวดก่อพระเจดีย์ทราย และกิจกรรมสงฆ์น้ำพระ
เพื่อเป็นการอนุรักษ์สืบสานประเพณีสงกรานต์และกิจกรรมที่ถูกต้องและดีงามให้คงอยู่สืบไป
2.
จัดกิจกรรมประกวดหนุ่มสาวสงกรานต์วัยทองคำกิจกรรมรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุเพื่อให้ ประชาชนได้เห็นความสำคัญของผู้สูงอายุในตำบลส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีให้กับผู้สูงวัยและแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่และปูชนียบุคคลที่สำคัญของตำบลท่าทอง
3. จัดการประกวดส่งเสริมการแต่งกายผ้าไทยย้อนยุค
เพื่อให้ประชาชนรุ่นหลังได้มีแบบอย่างที่ดีในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในประเพณีสงกรานต์
ประเพณีวันเข้าพรรษา
เหตุเกิดเมื่อครั้งที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงประทับอยู่ ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นคือ
พวกชาวบ้านกลุ่มหนึ่งพากันกล่าวตำหนิพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาว่า
ช่างไม่รู้กาลเวลาเสียเลยพากันจาริกไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้งแม้ในฤดูฝน
บางครั้งก็ไปเหยียบข้าวกล้าของชาวนาเสียหาย ขณะที่พวกนิกรนักบวช
ในศาสนาอื่นและฝูงนกยังหยุดพักผ่อน ไม่ท่องเที่ยวไปในฤดูฝนเช่นนี้
หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติเรื่องการเข้าพรรษาไว้ว่า ‘‘อนุชานามิ ภิกขะเว สัสสัง อุปะคันตุง’ ’ แปลว่า ‘‘ ภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้พวกเธออยู่จำพรรษา’’
ตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้นมา
ในประเทศไทย ตามประวัติศาสตร์ พุทธศาสนิกชนชาวไทย ได้เริ่มบำเพ็ญกุศลเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษานี้
ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
ดังข้อความในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชว่า ‘‘พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัยนี้ ทั้งชาวแม่ชาวเจ้าทั้งท่วยปั่วท่วยนาง
ลูกเจ้าลูกขันทั้งสิ้นทั้งหลายทั้งหญิงทั้งชาย ฝูงท่วยมีศรัทธาในพุทธศาสนาศาสน์
มักทรงศีล เมื่อพรรษาทุกคน’’ นอกจากการรักษาศีลแล้ว
พุทธศาสนิกชนไทย ในสมัยสุโขทัยนั้น ยังได้บำเพ็ญกุศลอื่นๆ ดังรายละเอียดปรากฏอยู่ในหนังสือนางนพมาศ พอสรุปได้ดังนี้ เมื่อในเดือน 8 ก็มีพระราชพิธีอาษาฒมาส พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปจะได้เข้าจำพรรษา ในพระอารามต่างๆ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้จัดแจงเสนาสนะถวาย
พร้อมทั้งบริขารอันควรแก่สมณะบริโภค เช่น เตียง ตั่ง เสื่อสาด ผ้าจำนำพรรษา
อาหารหวานคาวยารักษาโรค และธูปเทียนจำนำพรรษา เพื่อบูชาพระรัตนตรัย
ในพระอารามหลวงทั่วราชอาณาจักร แม้ชาวเมืองสุโขทัยก็บำเพ็ญกุศลเช่นนี้ในวัดประจำตระกูลของตน
การบำเพ็ญกุศลเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษานี้ ยังมีประเพณีสำคัญอยู่ 2 ประเพณี ควรนำมากล่าวไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้ คือประเพณีแห่เทียนพรรษา
และประเพณีถวายผ้าอาบน้ำฝน ซึ่งปัจจุบันวันเข้าพรรษา ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี จนถึง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เป็นเวลา 3
เดือน
ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ. ศ. 2550 มาตรา 80 (6) กำหนดให้รัฐดำเนินการ
ตามแนวนโยบายพื้นฐาน โดยการส่งเสริมและสนับสนุนความรู้รักสามัคคี
และการเรียนรู้ปลูกจิตสำนึก และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติ
ตลอดจนค่านิยมอันดีงามและภูมิปัญญาท้องถิ่น ตามกฎหมายบัญญัตินี้
เทศบาลตำบลท่าทอง จึงได้จัดกิจกรรมและส่งเสริมอนุรักษ์ประเพณีเข้าพรรษาขึ้น
โดยสืบสานประเพณีที่ดีงามให้คงอยู่กับชุมชนด้วยการจัดขบวนแห่ประชาสัมพันธ์พุทธประวัติต้นกำเนิดของการเกิดประเพณีเข้าพรรษา
ตลอดจนกิจกรรมรณรงค์การปฏิบัติตนในการพุทธศาสนิกชนที่ดีในช่วงเทศกาล
เข้าร่วมกันรักษาศีล ชำระร่างกาย และจิตใจให้ผ่องใส ด้วยการลด ละ เลิก
การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ‘‘รณรงค์งดเหล้าเข้าพรรษา’’
อีกทางเชื่อมต่อไปถึงประชาชนของตำบลท่าทองในการมีส่วนร่วมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในหมู่บ้านชุมชน
หน่วยงาน ตลอดจนสถานศึกษาในตำบลท่าทอง ได้เห็นความสำคัญของประเพณีที่ดีงาม
โดยได้จัดการประกวดขบวนแห่เทียนพรรษา เพื่อเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
ซึ่งประชาชนในหมู่บ้านชุมชน หน่วยงาน สถานศึกษา ตลอดจนชุมชนวัดในตำบลท่าทอง
จะเป็นแบบอย่างที่ดีใน การปลูกฝังสิ่งดีงามในประเพณีเข้าพรรษา
ด้วยการแสดงออกผ่านขบวนแห่เทียนพรรษาและประชาชนทั่วไปสามารถศึกษาเรียนรู้ประเพณีที่ดีงามและปฏิบัติตนจากกิจกรรมที่จัดขึ้นได้อีกด้วย
กิจกรรมต่างๆเหล่านี้จะเป็นสิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้เกิดการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่
รณรงค์ สืบสาน ให้เกิดการส่งเสริมอนุรักษ์ประเพณีเข้าพรรษาให้คงอยู่สืบไป
กิจกรรมในงาน
1. จัดขบวนแห่เทียนพรรษา
เล่าเรื่องราวพุทธประวัติที่เกี่ยวข้องกับประเพณีเข้าพรรษาผ่านรูปขบวนที่จัดขึ้น
ให้ประชาชนทั่วไปได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ มีความสนใจ เพื่อเป็นการเผยแพร่ พระพุทธศาสนาให้คงอยู่สืบไป
2.
จัดขบวนรณรงค์เกี่ยวกับการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง เพื่อให้ประชาชน ลดละ
เลิกดื่มสุราและของมึนเมา รวมทั้งอบายมุขต่างๆ
และปฏิบัติตนเป็นคนดีรักษาศีลและธรรมในช่วงเข้าพรรษา
3. จัดการประกวดแห่เทียนพรรษา
เพื่อให้หมู่บ้าน หน่วยงาน สถานศึกษา
ชุมชนในวัดตำบลท่าทองเป็นแบบอย่างที่ดีในการสืบทอดพระพุทธศาสนา
ซึ่งสามารถให้ประชาชนทั่วไปสามารถศึกษาเรียนรู้ผ่านการจัดรูปขบวนที่หลากหลาย
น่าสนใจ เป็นการจรรโลงใจให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามประเพณีเข้าพรรษา
ประเพณีวันออกพรรษา
วันออกพรรษา ตรงกับวันขึ้น
15 ค่ำเดือน 11
เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของพรภิกษุะสงฆ์ คือเป็นวันสิ้นสุดการจำพรรษา
หรือการออกจากพรรษาที่ได้อธิฐานเข้จำพรรษาตลอดระยะเวลา 3
เดือน ในวันออกพรรษาในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า เป็นวันที่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มายังโลกมนุษย์
หลังจากที่พระองค์ได้เสด็จไปจำพรรษา และแสดงพระธรรมเทศนาโปรดเทพบุตรพุทธมารดา
อยู่สวรรค์ชั้นดุสิต แต่ลงมาฟังพระธรรมเทศนาที่ชั้นดาวดึงส์ วันออกพรรษา
มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันมหาปวารณา
เป็นวันที่พระภิกษุสงฆ์เปิดโอกาสให้เพื่อนพระภิกษุสงฆ์ว่ากล่าวตักเตือนกันด้วยเมตตาจิตปรารถนาดีต่อผู้ถูกตัวเตือน
ทั้งกาย วาจา ใจ ส่วนผู้ถูกตักเตือนก็ต้องมีใจกว้าง
มองเห็นความปรารถนาดีของผู้กล่าวตักเตือน
ประเพณีของชาวพุทธที่นิยมกระทำในเทศกาลออกพรรษาคือ ตักบาตรเทโวโรหณะ
โดยในหลายที่ยังทำเป็นข้าวต้มลูกโยน มาไว้สำหรับใส่บาตร การตักบาตรเทโว
เริ่มมาตั้งแต่ตอนที่พระสัมมาสัมพุทธะเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
พุทธศาสนิกชนจึงได้พร้อมใจกันนำภัตตาหารมาถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จนั้นมีจำนวนมาก บางพวกที่อยู่ห่างถึงไม่สามารถใส่อาหารลงในบาตรได้
จึงต้องทำข้าวให้เป็นก้อน แล้วโยนใส่บาตร จนกระทั่งเป็นประเพณีนิยมมาจนถึงปัจจุบัน
เทศบาลตำบลท่าทอง เป็นหน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น
มีหน้าที่ให้การสนับสนุนส่งเสริมและรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีดีงามของท้องถิ่นไว้ให้เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติต่อไป
จึงได้จัดทำโครงการจัดการประเพณีจัดงานประเพณีวันออกพรรษาขึ้น ณ ตำบลท่าทอง
และวัดสว่างอารมณ์ตำบล ท่าทอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
ทั้งนี้เพื่อเป็นการสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม
ปลูกฝังค่านิยมสังคมชาวพุทธที่รักในความสงบร่มเย็นเข้าวัดทำบุญ
ทำจิตใจให้แจ่มใส ในวันสำคัญของพระพุทธศาสนา ทั้งส่งเสริมให้ประชาชนในตำบล
ได้ร่วมกันทำกิจกรรมที่เกิดความสามัคคี สร้างความสมานฉันท์ และจัดกิจกรรมต่างๆ
ทั้งการประกวดสวดมนต์หมู่
การแสดงเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีการจำลองเหตุการณ์เพื่อเผยแพร่พุทธประวัติ
กิจกรรมวันออกพรรษา ตักบาตรเทโวฯ
คำบรรยายธรรมะ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้เข้าร่วมกิจกรรมวันออกพรรษา
ส่งเสริมการอนุรักษ์ประเพณีวันออกพรรษาในตำบลท่าทองให้คงอยู่สืบไป]
กิจกรรมในงาน
1. จัดขบวนจำลองเหตุการณ์การตักบาตรเทโวโรหณะ ข้าวสารอาหารแห้ง
เพื่อกระตุ้นความสนใจให้กับประชาชนได้เข้าวัด ทำบุญ ร่วมกันอนุรักษ์ประเพณีวันออกพรรษา
และเผยแพร่พุทธประวัติเรื่องราวประวัติของวันออกพรรษา
2. จัดการประกวดสวดมนต์หมู่ เพื่อปลูกฝังกระตุ้นให้ประชาชน
ได้เข้าใจความหมายของบทสวดมนต์ การดำเนินพิธีการทางศาสนาพิธี
และฝึกสวดมนต์ให้ถูกต้อง เพื่อเผยแพร่พุทธศาสนาสู่ประชาชนทั่วไป
3. จัดกิจกรรมบรรยายธรรมะเสวนา ทำให้ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม
เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจ และสร้างจิตคติที่ดีเกี่ยวกับความสำคัญของวันออกพรรษา
รวมทั้งหลักธรรมและแนวทางปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง
ไปใช้ในการดำเนินชีวิตเพื่อพัฒนาตนและสังคม
ประเพณีลอยกระทง
ประเพณีลอยกระทง เป็นประเพณีของไทยที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณ
วันเพ็ญเดือน 12
เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง แม่น้ำสะอาด แสงจันทร์ส่องเวลากลางคืน
เป็นบรรยากาศที่สวยงาม เหมาะแก่การลอยกระทง เดิมพิธีลอยกระทง เรียกว่า
พระราชพิธีจองเปรียง ชักโคม ลอยโคม ซึ่งเป็นพิธีของพราหมณ์
เพื่อบูชาพระเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม
คนไทยนับถือพระพุทธศาสนาที่ทำพิธียกโคม เพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระจุฬามณี ณ
สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ลอยโคมบูชาพระพุทธบาท
ตำนานเรื่องของการลอยกระทงมีความเชื่อแตกต่างกันไป แล้วแต่พื้นที่ในแต่ละท้องถิ่น
ศาสนา ในตำนานท้าวศรีจุฬาลักษณ์ได้กล่าวว่า นางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์
พระสนมเอกในพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย
เป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์กระทงสำหรับลอยประทีป เป็นรูปดอกบัวบานขึ้น
ซึ่งคนทั่วไปนิยมทำการสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งยังคงรักษารูปแบบเดินเอาไว้ตามสมควร
ในปัจจุบันเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนสิบสอง
ชาวบ้านจะจัดเตรียมทำกระทงจากวัตถุที่หาง่ายจากธรรมชาติ เช่น หยวกกล้วยและดอกบัว
นำมาประดิษฐ์เป็นกระทงสวยงาม ปักธูปเทียนและเครื่องไม้เครื่องสักการบูชา
ก่อนนำมาลอยในแม่น้ำก็จะอธิษฐานให้มุ่งอธิษฐานในสิ่งที่มุ่งหวัง
พร้อมขอขมาต่อพระแม่คงคา เพราะได้อาศัยน้ำท่านกินและใช้
แม้ว่าความเชื่อและวิธีการลอยกระทงจะมีความแตกต่างไปตามแต่ละท้องถิ่น
แต่ความเชื่อก็เหมือนกัน คือ ประเพณีลอยกระทง
เป็นคติความเชื่อของชนชาติที่ประกอบอาชีพกสิกรรม ซึ่งมีน้ำเป็นปัจจัยหลัก ในการประกอบอาชีพที่ทำให้พืชเจริญงอกงามสมบูรณ์ซึ่งมีการลอยกระทงไปตามกระแสน้ำ
เพื่อขอบคุณพระแม่คงคาหรือเทพเจ้าแห่งน้ำ
อีกทั้งเป็นการแสดงความคารวะขออภัยที่ได้ลงอ่างหรือปล่อยสิ่งปฏิกูลลงน้ำ
ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม หลังจากการลอยกระทงแล้วก็จะมีการละเล่นรื่นเริงสนุกสนานอันเป็นธรรมเนียมในการสร้างความกลมเกลียวของคนในชุมชนอีกด้วย
โดยวัตถุประสงค์ในการจัดโครงการเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจขององค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนคนไทยทุกคนที่สืบสานและอนุรักษ์งานประเพณีท้องของท้องถิ่นให้อยู่คู่กับลูกหลานต่อไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้
เทศบาลตำบลท่าทองเป็นหน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น
มีหน้าที่ให้การสนับสนุน ส่งเสริมและรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียม
ประเพณีดีงามของท้องถิ่นไว้ให้เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติต่อไป
จึงได้จัดทำโครงการส่งเสริมและอนุรักษ์ประเพณีลอยกระทงตำบลท่าทองขึ้น ณ วัดหนองหัวยาง
และห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัสเอ็กซ์ตร้าสาขาท่าทอง ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง
จังหวัดพิษณุโลก
กิจกรรมในงาน
1. จัดสถานที่ลอยกระทงให้กับประชาชนได้เข้าร่วมกิจกรรม
พร้อมกับจัดการแสดงต่างๆที่เกี่ยวข้องกับประเพณีลอยกระทง
เป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู
สืบสานประเพณีวัฒนธรรมของไทยให้คงอยู่
2. จัดการประกวดการจัดทำกระทงงามอย่างไทยเพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเพณีลอยกระทงและส่งเสริมการประดิษฐ์กระทงด้วยวัสดุธรรมชาติ
สืบสานความเป็นไทยและอนุรักษ์ธรรมชาติ
3.จัดการประกวดนางนพมาศ
เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในประเพณีลอยกระทง
ให้ผู้เข้าประกวดบอกเล่าการกำเนิดประเพณีลอยกระทงในตำนานสู่อนุชนรุ่นหลัง
ให้ทราบว่านางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ พระสนมเอกในพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย
เป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์กระทงสำหรับลอยประทีปเป็นครั้งแรก
4. จัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์บำรุงรักษา แม่น้ำ คูคลอง และสถานที่ต่างๆ
เพื่อเป็นการขอขมาต่อพระแม่คงคา และปลูกจิตสำนึกให้รู้คุณค่าของน้ำ ให้ประชาชน
และหน่วยงานต่างๆได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมของชุมชน
งานสมโภชหลวงพ่อขาวหลวงพ่อไซ้
งานสมโภชหลวงพ่อขาว หลวงพ่อไซ้
จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนมีนาคม เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมใจกันเข้าวัดทำบุญ
ร่วมกันอนุรักษ์สืบสานประเพณีอันดีงามของคนในชุมชน และเข้ามาสักการบูชาหลวงพ่อขาว
หลวงพ่อไซ้ ซึ่งเป็นที่นับถือ เคารพบูชา ของประชาชนมากมาย
กิจกรรมในงานประกอบไปด้วย
การให้ประชาชนเข้ามาร่วมสนุกกับเกมการละเล่นต่างๆที่จัดขึ้น
ให้ประชาชนได้เข้ามาทำบุญสักการะหลวงพ่อขาว หลวงพ่อไซ้
ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านและประชาชนทั่วไปนับถือเป็นอย่างมาก
มีการจัดแสดงพระเครื่องของหลวงพ่อไซ้มากมาย และได้จัดตั้งเป็นชมรมพระเครื่องต่างๆ
ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไปเข้าร่วมชมเป็นจำนวนมากอีกด้วย
งานสมโภชหลวงพ่อเหลือง
หลวงพ่อคล้าย
กิจกรรมในงานประกอบไปด้วย การแสดงมหรสพต่างๆการละเล่นเกมต่างๆ
และการแสดงมวยไทย เพื่อที่จะอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยให้อยู่สืบรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป
และที่สำคัญเพื่อให้ชาวบ้านและประชาชนได้เข้ามาร่วมกันทำบุญกราบไหว้บูชาพระประจำชุมชนที่นับถือ
และร่วมกันทำบุญเพื่อบูรณะวัดให้มีความเจริญยิ่งขึ้นไป
งานสมโภชหลวงพ่อเพชร
งานสมโภชหลวงพ่อเพชร จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนกรกฎาคม
เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามาร่วมกันทำบุญ เพื่อพัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป
ให้ประชาให้ประชาชนได้เข้าวัดทำบุญร่วมงานแสดงมหรสพต่างๆเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมเก่าแก่ของชุมชนเอาไว้
กิจกรรมในเมืองประกอบไปด้วย
การแสดงมหรสพต่างๆการละเล่นกิจกรรมเกมและการร่วมทำบุญสักการบูชาหลวงพ่อเพชร
อันเป็นที่เคารพนับถือแกประชาชนในชุมชนและประชาชนทั่วไป
งานสมโภชหลวงพ่อกึ่ง
งานสมโภชหลวงพ่อกึ่ง จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนพฤศจิกายน
เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบำรุงพระพุทธศาสนา
ให้เจริญสืบอยู่ต่อไปจนชั่วลูกชั่วหลาน
กิจกรรมภายในงานประกอบไปด้วย การแสดงมหรสพต่างๆที่ทางวัดจะแสดงขึ้น
เพื่อให้ชาวบ้านได้ร่วมกันทำบุญเพื่อนำเงินไปบำรุงสถานที่ต่างๆในการพัฒนาวัดให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป
และยังมีการละเล่นต่างๆให้ชาวบ้านได้มาร่วมสนุกกัน
เพื่อแสดงความสามัคคีให้กับคนในชุมชนอีกด้วย
ประเพณีแข่งเรือยาว
ประชาชนตำบลท่าทอง
ได้เข้าร่วมในกิจกรรมประกวดกองเชียร์ในประเพณีมีแข่งเรือยาว
ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนกันยายน
ได้มีการซ้อมการแสดงเพื่อความพร้อมเพียงในการประกวดเป็นเวลา 1 เดือน โดยเทศบาลตำบลท่าทองเป็นผู้จัดควบคุมการแสดงต่างๆ
ในการประกวดครั้งนี้เพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงออกทางด้านความคิดและความสามัคคีในการทำงานร่วมกัน
และเป็นการอนุรักษ์ประเพณีการรำวงต่างๆ
ให้ประชาชนรุ่นหลังชนได้ร่วมกันสืบทอดให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
ผลการประกวด ทีมจากตำบลท่าทองได้รางวัลชนะเลิศถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพฯเป็นจำนวน
2 สมัยติดต่อกันแล้ว
เป็นผลจากความสามัคคีของประชาชนที่ให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดีจึงยังคงรักษาแชมป์นี้ไว้ได้
3.
แหล่งเรียนรู้ประเภทสถานที่และแหล่งธรรมชาติ
หมายถึง
อาคารสถานที่ซึ่งผู้เรียนสามรถเข้าไปศึกษาหาความรู้ได้ ตามความต้องการ และความสนใจ
ได้ทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
พบว่าแหล่งเรียนรู้ประเภทสถานที่และแหล่งธรรมชาติ ได้แก่
วัดจุฬามณี
สถานที่ตั้ง
เลขที่ 60 หมู่ 2 ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง
จังหวัดพิษณุโลก
ประวัติความเป็นมา
“วัดจุฬามณี” เป็นวัดที่มีความเก่าแก่ที่สุดในจังหวัดพิษณุโลก
เชื่อกันว่าเป็นตำแหน่งที่ตั้งของเมืองพิษณุโลกเดิม
ตามประวัติศาสตร์ของวัดจุฬามณีแห่งนี้
กล่าวว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมหาราชทรงสร้างขึ้นและได้เสด็จออกผนวช ณ วัดแห่งนี้
เป็นเวลาถึง 8 เดือน 15 วัน เลยทีเดียว และการออกผนวชของพระองค์ท่านมีข้าราชการบริพารตามบวชตามเสด็จถึง
2,348 รูป
ภายในวัดยังคงพบโบราณสถานและโบราณวัตถุที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา
คือ “พระพุทธบาทจำลอง”
ประดิษฐานอยู่ภายในปรางค์ขอมโบราณ ก่อด้วยศิลาแลง
ฐานปรางค์ประดับด้วยปูนปั้นรูปหงส์ยังเห็นลวดลายได้อย่างชัดเจนและ “ศิลาจารึก” ที่ฝังอยู่ภายในกำแพงมณฑปปัจจุบันมีตู้กระจกครอบเพื่อรักษาสภาพโดยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้โปรดสร้างขึ้น
นอกจากนี้ภายในวัตจุฬามณียังมี
“พระวิหารเก่า” เป็นอาคารแบบทรงโรงศิลปะสมัยอยุธยาลักษณะคล้ายพระอุโบสถของวัดราชบูรณะและยังมีพระพุทธรูปสำคัญอีกองค์อยู่ภายในวัดจุฬามณี
“หลวงพ่อขาว” พระพุทธรูปปูนปั้น ปางมารวิชัย ศิลปะสมัยอยุธยา ประดิษฐานอยู่ ณ
พระราชอุโบสถหลังเก่าสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ทรงอัญเชิญหลวงพ่อขาวมาจากมูลดินอินทรารามในค่ายทหาร
“หลวงพ่อคง” พระพุทธรูปปั้น
ปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย ที่ประดิษฐานเดิมปรักหักพัง
ชาวบ้านจึงได้ร่วมใจกันสร้างพระวิหารหลังเล็กขึ้นมาใหม่เพื่อประดิษฐานหลวงพ่อคง
“หลวงพ่อดำ” พระพุทธรูปปูนปั้นเนื้อสีดำ
ปางมารวิชัย ศิลปะอยุธยา ตามประวัติชาวบ้านได้อัญเชิญหลวงพ่อดำมีสภาพชำรุด ครูทิว
บูรณเขต เป็นผู้บูรณะ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ภายในพระวิหารหลังเล็กเช่นเดียวกับหลวงพ่อคง
“หลวงพ่อเพชร” เป็นพระพุทธรูปหินทราย ปางขัดสมาธิเพชรบนฐานรองรับองค์
เดิมสมเด็จไตรโลกนาถกษัตริย์แห่งกรุงศรีสัชนาลัยทรงผนวช ณ
วัดจุฬามณีแห่งนี้และเป็นผู้สร้างหลวงพ่อเพชรไว้ ต่อมาหลวงพ่อเพชรได้ชำรุด อดีตเจ้าอาวาสจึงนำปูนมาพอกไว้
หลังจากปูนหลุดกะเทาะออกมาจึงเห็นว่าพระพักตร์ชำรุด พระกรหัก
ประชาชนจึงช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์องค์หลวงพ่อขึ้นมาใหม่ทำให้พุทธลักษณะของหลวงพ่อเพชรคล้ายศิลปะเชียงแสน
ได้มีการนำเพชรมาประดับที่พระเนตรและเม็ดพระศก ชาวบ้านจึงนิยมเรียกว่า “หลวงพ่อเพชร” แต่เพชรได้ถูกขโมยไปปัจจุบันประชาชนจึงได้ช่วยกันอนุรักษ์องค์หลวงพ่อไว้ดังที่เห็นในปัจจุบัน
ลักษณะทั่วไป
ปัจจุบันเขตพื้นที่วัดจุฬามณีมีเนื้อที่อยู่
73 ไร่ 1 งาน 86 ตารางวา บางส่วนเป็นบ้านเรือนราษฎรและสาธารณประโยชน์เช่น
โรงเรียนและถนน มีอาณาเขตดังนี้
ทิศเหนือ ติดพื้นที่ราษฎรและแม่น้ำน่าน
มีถนนบรมไตรตัดผ่าน
ทิศใต้ ติดพื้นที่เกษตรกรรม
ทิศตะวันออก ติดโรงเรียนวัดจุฬามณี
ทิศตะวันตก ติดแม่น้ำน่านและพื้นที่เกษตรกรรม
พื้นที่วัดจุฬามณีอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลราว
44 เมตร ซึ่งใกล้เคียงกับพื้นที่เมืองพิษณุโลกในทางทิศเหนือของเมืองประมาณ 7
กิดลเมตร แม่น้ำแควน้อยไหลมารวมกับแม่น้ำน้ำบริเวณหน้าบ้านหงส์
รอยต่อระหว่างอำเภอเมืองพิษณุโลกและอำเภอเมืองพิจิตรปัจจุบันจึงอยู่ระหว่างแม่น้ำ
2 สาย รวมทั้งพื้นที่สัดจุฬามณี จึงเป็นที่มาของคำว่า “เมืองสองแคว”
ผังการเดินทาง
ระยะทางจากเทศบาลตำบลท่าทอง
ประมาณ 2 กิโลเมตร
สภาพเส้นทาง ถนนลาดยาง
ใช้เวลาเดินทาง 20 นาที
สามารถเดินทางได้โดย รถจักรยานยนต์,รถยนต์ส่วนตัว
วัดศรีรัตนาราม (จูงนาง)
สถานที่ตั้ง
หมู่
4 ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
ประวัติความเป็นมา
มีผู้เล่าสืบต่อกันมาว่าในหมู่บ้านแห่งนี้มีเศรษฐี
สามี ภรรยาคู่หนึ่งซึ่งทั้งคู่ไม่มีบุตรได้สร้างวัดและอธิฐานจิตขอให้มีบุตร
ได้ใช้ทองคำถวายเป็นลายหน้าอุโบสถ จึงตั้งชื่อว่า “วัดหน้าทอง” ด้วยอานิสงส์ดังกล่าวทำให้ได้กำเนิดบุตรออกมาเป็นหญิง
มีหน้าตางดงาม ผิวพรรณผุดผ่องดุจทองคำ
เมื่อเรื่องนี้มีความถึงพระมหากษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา
จึงทรงมีพระราชประสงค์ที่จะได้หญิงงามมาเป็นคู่บารมี
จึงได้จัดขบวนเรือเกียรติยศขึ้นไปรับนางเข้าวัง
เมื่อเศรษฐีก็ตกใจและบุตรสาวก็ไม่ยอมแต่ขัดพระราชประสงค์ไม่ได้
จึงจูงบุตรสาวไปยังขบวนเรือ นางอยู่ในวังด้วยความสุขสบาย
ต่อมาพม่ายกทัพมารุกรานเกิดเหตุโกลาหลขึ้น
เมื่อสงครามสงบนางก็สูญหายพระมหากษัตริย์ทรงให้ค้นหาทุกแห่งหนก็ไม่พบ ก็รู้สึกสลดพระทัยเป็นอย่างยิ่งจึงโปรดเกล้าให้สร้างวัดเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก
บริเวณที่บิดาจูงนางลงเรือว่า “วัดจูงนาง” แต่ไม่ได้สร้างอุโบสถมีแต่วิหารตั้งแต่นั้นชาวบ้านก็นิยมมาทำบุญที่วัดแห่งนี้
ทำให้วัดหน้าทองถูกยุบไป วัดจูงนางจึงใช้อุโบสถของวัดหน้าทองตลอดมา
เจ้าอาวาสที่สำคัญของวัดศรีรัตนารามในอดีตได้แก่ หลวงพ่อจวน หลวงพ่อเพิ่ม หลวงพ่อพวง
หลวงพ่อไซ้(พระครูศรีรัตนาภรณ์) พระครูสิริรัตนาภิรักษ์ หลวงพ่อเพชร และพระราชธรรมคณี
ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก
ประวัติ
วิหารหลวงพ่อขาว
วิหารหลวงพ่อขาว
ปัจจุบันเป็นอาคารโบราณสถาน โดยขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปากร เมื่อปี พ.ศ.2538 และได้มีผู้มีจิตศรัทธาพร้อมด้วยประชาชนในชุมชนสร้างหลังคาคลุม
เพื่อป้องกันความเสียหายทั้ง แดด ลมและฝน
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่หลงเหลืออยู่คือช่องหน้าต่างเป็นลูกมะหวด
สถาปัตยกรรมที่อยู่ในช่วงสมัยสุโขทัยจนถึงกลางกรุงศรีอยุธยาจากลักษณะของแผ่นอิฐมอญที่ปูเป็นพื้นและผนังของวิหารมีความแตกต่างกันแต่หน้าจะเป็นยุคสมัยเดียวกัน
พระประธานในวิหารหรือที่ชาวบ้านเรียก
หลวงพ่อขาวเป็นศูนย์รวมจิตใจที่สำคัญของชุมชนโดยรอบวัด
จากลักษณะทางประติมากรรมเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยนั่งขัดสมาธิราบก่ออิฐถือปูน
เนื่องจากองค์พระในปัจจุบันมีขนาดใหญ่สูง 3.5เมตร หน้าตักประมาน 3 เมตร
จึงจำเป็นต้องก่ออิฐลักษณะขององค์พระน่าจะมีการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง
ในวันเพ็ญเดือน
4 ขึ้น 15 ค่ำ
ของทุกปีทางวัดจะจัดงานสมโภชหลวงพ่อขาวและงานประจำปีวัดศรีรัตนารามเป็นเวลา 3-5
วันโดยมีมหรสพทุกคืนที่ขาดไม่ได้คือลิเก และหนังกลางแปลงในช่วงเวลาปกติจะมีชาวบ้านที่ประสบความสำเร็จจากการบนบานสานกล่าวเสมอทั้งอาหารคาวหวาน
ละครรำ ลิเก และหนังกลางแปลง
จิตกรรมฝาผนังเป็นภาพชาย
2คน
เป่าแคนและรำซึ่งจากลักษณะทางศิลปะสันนิษฐานได้ว่าเป็นการวาดแบบเอกรงค์โดยใช้สีจริงอาจเป็นถ่านพิเศษหรือหมึกที่เป็นสีเอกรงค์นั้นเป็นลักษณะศิลปกรรมที่นิยมใช้ในช่วงก่อนรัชสมัยของเจ้าสามพระยาแห่งกรุงศรีอยุธยา
โดยมีการใช้สีเหมือนวัดราชบูรณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งสร้างโดยเจ้าสามพระยา
(ภายหลังการชนข้างแย่งราชสมบัติของเจ้าย้ายพระยา กับเจ้ายี่พระยา
ซึ่งสิ้นพระชนม์ทั้งสองพระองค์เจ้าสามพระยาจึงได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ)
ภาพจิตรกรรมฝาผนังรูปแบบนี้หาชมได้ยากแม้ในวิหารแห่งนี้เป็นเพียงภาพเดียวที่ยังหลงเหลือยู่ในปัจจุบันเนื่องจากฝาผนังของพระวิหารพังทลายลงเกือบหมดแล้วคงเหลือเพียงซุ้มประตูและหน้าต่างห้องรับแขกของวิหารที่ยังคงสภาพที่ดีไว้ศึกษาและสันนิษฐานถึงอายุและลักษณะทางสถาปัตยกรรม
โดยรวมตัววิหารหลวงพ่อขาวแห่งนี้ปูนที่ฉาบผนังวิหารหลวงพ่อขาวเป็นปูนที่มีแคลเซียมมากๆมาหมักทำเป็นปูน
ลายเสาจะต้องทำเป็นผิวหยาบขรุขระเมื่อลายปูนปั้นหลุดล่อนที่ซุ้มประตูวิหารองค์หลวงพ่อขาวเป็นการสร้างตามคอนเซ็ปต์อยุธยาที่เว้นว่างหลังองค์พระไว้บ้างแต่ไม่ได้เว้นไว้เพื่อเวียนเทียน
ประทักษิน ตัววิหารน่าจะเป็นวิหารเก้าห้องระยะห่างระหว่างเสากว้างประมาน 1
เมตรซึ่งอาจไม่ก่อเป็นเสาแต่ทำเป็นผนังทึบแล้วเจาะช่องหน้าต่างซี่มะหวดการสร้างเป็นห้องๆ
นิยมสร้างในวัดหลวงใช้รับน้ำหนักเครื่องบนมากๆ
แต่อาจมิเสาดอนในของวิหารบริเวณในตัวของวิหารแต่ไม่ปรากฏร่องรอยอันเนื่องมาจากบูรณะปูพื้นที่หินอ่อนทับทั้งหมด
ประวัติ
เจดีย์ประธาน
ประธาน
วัดศรีรัตนาราม เป็นเจดีย์ที่หลงเหลืออยู่มี 5 องค์
ตั้งอยู่ด้านหลังวิหารหลวงพ่อขาว โดยมีเจดีย์ประธานตั้งอยู่ตรงกลาง
ซึ่งน่าจะสร้างขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น พร้อมกับการสร้างวิหารหลวงพ่อขาว 1
องค์คือเจดีย์ประธานหากแต่ละลักษณะที่ปรากฏในปัจจุบันมีลักษณะที่แตกต่างกันเนื่องจากการบูรณะต่างวาระฝีมือช่างจึงแสดงออกแตกต่างกันโดยเจดีย์ประจำทิศเหนือและเจดีย์ประจำทิศใต้มีสถาปัตยกรรมลักษณะกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
ส่วนเจดีย์ประจำทิศตะวันออกและเจดีย์ประจำทิศตะวันตกน่าจะสร้างขึ้นภายหลัง
ในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับการบูรณะเจดีย์ประธานละเจดีย์ประจำทิศเหนือและใต้
เจดีย์ประธานมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นเจดีย์ย่อมุมขนาดยี่สิบซึ่งสถาปัตยกรรมเช่นนี้มีตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ฐานเจดีย์เป็นฐานสิงห์
8 ชั้นองค์ระฆังย่อมุมไม้ยี่สิบเหนือองค์พระระฆังเป็นบัวคลุ่มหรือบัวกลุ่ม
จากลักษณะของฐานเจดีย์ที่ปรากฏทำให้สันนิษฐานได้ว่าเป็นเจดีย์ที่สร้างสมัยกรุงศรีอยุธยาแต่ลักษณะสถาปัตยกรรมที่ปรากฏ
พอสรุปได้ว่ามีการบูรณะเรื่อยมาสถาปัตยกรรมเจดีย์ย่อไม้ยี่สิบเป็นลักษณะทางสถาปัตยกรรมศิลปะของโบราณ
ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นเรื่องเล่าเสริมศรัทธาที่เกี่ยวกับเจดีย์จากนิทานพุทธประวัติมีว่า
เมื่อถวายเพลิงพระบรมสรีระของพระศาสดาแล้ว พระอินทร์ได้อัญเชิญพระทันตธาตุ
(พระเขี้ยวแก้ว) ไปประดิษฐานไว้ใน เจดีย์จุฬามณี ที่อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ซึ่งก่อนหน้านั้น
เจดีย์อันศักดิ์สิทธิ์องค์นี้เป็นที่ประดิษฐานพระเกศโมลีของเจ้าชายสิทธัตถะ
(สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ที่ทรงตัดพระเกศโมลี แล้วโยนขึ้นไปบนท้องฟ้า
เพื่ออธิษฐานเสี่ยงทายการตรัสรู้ในคราวออกผนวช
และพระอินทร์ได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ก่อนแล้วจดีย์ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า
บางครั้งเรียกว่า พระบรมธาตุ พระมหาธาตุ พระศรีมหาธาตุ หรือพระศรีรัตนมหาธาตุ
ในศิลาจารึกสมัยสุโขทัยเมื่อกล่าวถึงเจดีย์ มักอิงอยู่กับความเป็น พระธาตุ หรือ
พระศรีมหาธาตุ เช่น ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า
พ่อขุนรามคำแหง
"...ให้ขุดเอาพระธาตุออกทั้งหลายเห็นกระทำบูชาบำเรอแก่พระธาตุได้เดือนหกวัน
จึ่งเอาลงฝังในกลางเมืองศรีสัชชนาลัยก่อพระเจดีย์เหนือหกเข้าจึ่งแล้ว...
"อย่างไรก็ดี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ยังได้ทรงสันนิษฐานไว้ว่า ในสมัยสุโขทัย
การสร้างเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระอัฐิของพระราชวงศ์ก็มีอยู่ด้วย นอกจากนี้
ในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐฯ ระบุว่า กรุงศรีอยุธยาจดบันทึกใน พ.ศ.
๒๐๓๕ ว่า มีการสร้างพระมหาสถูป สำหรับประดิษฐานพระบรมธาตุ
ของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และพระโอรส พระมหาสถูปดังกล่าวคือ เจดีย์ประธาน ๓ องค์
ของวัดพระศรีสรรเพชญ การประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์ไว้ในเจดีย์
คงอิงกับสมมติคติที่ว่า พระมหากษัตริย์ นอกจากทรงเป็นเสมือนเทวราชาแล้ว
ยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ หรืออีกนัยหนึ่งคือ พระอนาคตพุทธเจ้า สมมติคตินี้
ยังรวมถึงการประดิษฐานพระอัฐิของพระราชวงศ์ ซึ่งเปรียบเสมือนหน่อพุทธางกูรด้วย
ลักษณะทั่วไป
วัดศรีรัตนาราม
(จูงนาง) ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน่าน ทางทิศตะวันตก ห่างจากตัวเมืองพิษณุโลก
มาทางถนนพิษณุโลก-นครสวรรค์ 8 กิโลเมตร มีพื้นที่ 103 ไร่ 4 ตารางวา
ในจำนวนนี้ได้แบ่งพื้นที่ให้เป็นโรงเรียนวัดศรีรัตนาราม(รัตนาราษฎร์สงเคราะห์)
และโรงเรียนท่าทองพิทยาคม
วัดนี้เดิมชื่อ
“วัดจูงนาง” ปรากฏหลักฐานว่าสร้างตั้งแต่เมื่อใด ใครเป็นผู้สร้าง
ทราบเพียงแต่ว่าเป็นวัดเก่าวัดหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก
ซึ่งดูตามลักษณะสิ่งก่อสร้างต่างๆของวัด
แล้วน่าจะสร้างประมาณปลายกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี แต่ได้ขึ้นทะเบียนวัดไว้เมื่อ
พ.ศ.2400
วัดจูงนางเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดศรีรัตนาราม” โดยพระพิษณุบูราจายร์(แพ)
อดีตเจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลกเป็นผู้เปลี่ยนให้เพื่อความเหมาะสมกับสมัยนิยม
แต่ยังมีผู้ใช้จูงนางต่อท้ายเพื่อความเข้าใจ
ผังการเดินทาง
ระยะทางจากเทศบาลตำบลท่าทอง
ประมาณ 2 กิโลเมตร
สภาพเส้นทาง ถนนคอนกรีต
ใช้เวลาเดินทาง 20 นาที
สามารถเดินทางได้โดย รถจักรยานยนต์
,รถยนต์ส่วนตัว,รถประจำทาง บขส. – มน.
3.วัดสว่างอารมณ์
สถานที่ตั้ง
หมู่ที่ 6ตำบลท่าทอง
อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
ประวัติความเป็นมา
วัดสว่างอารมณ์
สร้างขึ้นตั้งแต่พ.ศ.2480 ชาวบ้านเรียกว่า “วัดบ้านกรอก” ตามชื่อบ้าน ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาวันที่
27 พฤษภาคม พ.ศ.2526 ที่วัดมีโรงเรียนประถมศึกษาของทางราชการตั้งอยู่เลยใช้ชื่อเรียกตามชื่อวัดว่า
โรงเรียนสว่างอารมณ์
ลักษณะทั่วไป
พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบสูงอยู่ริมแม่น้ำ
อาคารเสนาสนะต่างๆมีโบสถ์กว้าง ยาว 33 เมตร ศาลาการเปรียญกว้างถึง 19 เมตร สร้างขึ้นเมื่อ
พ.ศ.2521 ครึ่งตึกครึ่งไม้
สำหรับปูชนียวัตถุ มีหลวงพ่อเหลือง และหลวงพ่อทองเป็นพระประธาน ทางเข้าหน้าวัดมีหอกลอง
หอระฆัง ที่รองอำมาตย์ตรีขุนประคุณเขตรัฐ เป็นผู้สร้าง เมื่อปี พ.ศ. 2404 ซึ่งได้รับบริจาคมาอีกที
แผนผังการเดินทาง
ระยะทางจากเทศบาลตำบลท่าทอง
ประมาณ 1 กิโลเมตร
สภาพเส้นทาง ถนนคอนกรีต
ใช้เวลาเดินทาง 15 นาที
สามารถเดินทางได้โดย รถจักรยานยนต์,รถยนต์ส่วนตัว
วัดหนองหัวยาง
สถานที่ตั้ง
หมู่ที่ 7 ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง
จังหวัดพิษณุโลก
ประวัติความเป็นมา
วัดหนองหัวยาง
สร้างขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2482 มีนามตามชื่อบ้าน
ซึ่งหมู่บ้านนี้มี หนองน้ำและต้นยางอยู่มาก
จึงถือเป็นนิมิตรหมายเรียกเป็นชื่อหมู่บ้าน วัดนี้เคยย้ายเสนาสนะมาแล้วถึง 3
ครั้ง
ลักษณะทั่วไป
วัดหนองหัวยางมีเนื้อที่
9 ไร่ 2 งาน ติดกับคลองอ้ายแมว ถนนสาย ต้นหว้า – บางแก้ว
พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบสูง ตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน
อาคารเสนาสนะต่างๆมีศาลาการเปรียญกว้าง 18 เมตร ยาว 27 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. 2514 เป็นอาคารไม้ หอสวดมนต์กว้าง 6 เมตร ยาว 6 เมตร สร้างเมื่อพ.ศ. 2515
แผนผังการเดินทาง
ระยะทางจากเทศบาลตำบลท่าทอง
ประมาณ 4 กิโลเมตร
สภาพเส้นทาง ถนนลาดยาง
ใช้เวลาเดินทาง 25 นาที
สามารถเดินทางได้โดย รถจักรยานยนต์,รถยนต์ส่วนตัว
ต้นมะขามยักษ์
สถานที่ตั้ง
หมู่ที่ 1 ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
ประวัติความเป็นมา
ตามประวัติกล่าวว่า เดิมบริเวณนี้เป็นป่าพง
มีบ้านเรือนอยู่เพียง 7 หลังเท่านั้น
วันหนึ่งช้างหลุดมาอยู่ที่บริเวณนี้และอาศัยอยู่รอบๆต้นมะขามไม่ยอมห่าง
ในที่สุดเจ้าของตามจนพบ
พยายามจะเอาช้างกลับแต่ไม่เป็นผลในที่สุดต้องใช้กำลังอย่างมากจนนำช้างกลับคืนไปได้
ต่อมาไม่นานชาวบ้านแถบนั้นได้ยินข่าวว่าช้างตายในลักษณะที่ยืนตาย ซึ่งในระยะต่อมา
ในบริเวณโคนต้นมะขามนั้นเกิดตะปุ่มตะป่ำงอกออกมาจากต้นมะขามยักษ์เป็นรูปงวงและงาช้าง
เด็กๆในหมู่บ้านนั้นได้ขึ้นไปเล่นอย่างสนุกสนาน
ต่อมาบริเวณหัวช้างนั้นเกิดการผุกร่อน มีปลวกขึ้น จึงไม่สามารถมองเห็นเป็นรูปร่างของหัวช้างได้อีก
อย่างไรก็ตาม ต้นมะขามนี้ก็ได้แตกกิ่งก้านสาขาใหญ่โต ให้ความร่มเย็นอย่างมาก
และที่กิ่งด้านเหนือจะมีกล้วยไม้ติดอยู่ ซึ่งจะออกดอกในช่วงเดือน 6 ของทุกปี ฉะนั้นชาวบ้านจึงทำบุญในวันขึ้น 9 ค่ำ
เดือน 6 ของทุกปี
ลักษณะทั่วไป
เป็นต้นมะขามยักษ์ที่แตกกิ่งก้นสาขาให้ความร่มเย็น
ลักษณะลำต้นจะเป็นเหมือนมีต้นเก่าและต้นใหม่ขึ้นเคียงคู่กันอยู่
ความกว้างของลำต้นประมาณ 4-5 คนโอบ
และบริเวณใต้ต้นมะขามใหญ่จะมีซากของต้นมะขามเก่าที่หมดอายุผุพังลงมา
แต่ชาวบ้านก็จะไม่นำไปทิ้งหรือทำลาย จะนำมาวางไว้ที่ต้นมะขามใหญ่ที่ขึ้นมาทดแทน
ปล่อยให้ผุกร่อนย่อยสลายไปเอง ต้นมะขามนี้อยู่ในบริเวณที่ดินของยาย ไสว มีภู่เพ็ง
ไม่สามารถทำการปลูกสร้างใดๆได้ คุณยายจึงยกที่ให้เป็นสาธารณะประโยชน์
และชาวบ้านได้ช่วยกันสร้างอาคารอเนกประสงค์ซึ่งอยู่ใกล้ๆบริเวณต้นมะขามยักษ์
ไว้ทำกิจกรรมงานบุญต่างๆของชาวบ้านกอกหมู่ที่ 1 ตำบลท่าทองจนถึงทุกวันนี้
ระยะทางจากเทศบาลตำบลท่าทอง
ประมาณ 2 กิโลเมตร
สภาพเส้นทาง ถนนลาดยาง
ใช้เวลาเดินทาง 20 นาที
สามารถเดินทางได้โดย รถจักรยานยนต์ , รถยนต์ส่วนตัว
ศูนย์วัฒนธรรมตำบลท่าทอง
สถานที่ตั้ง
วัดสว่างอารมณ์ หมู่ที่ 6 ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง
จังหวัดพิษณุโลก
ประวัติความเป็นมา
ศูนย์วัฒนธรรมตำบลท่าทอง
จัดตั้งตามโครงการศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทย
สายใยชุมชนของกระทรวงวัฒนธรรมเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 ทำพิธีเปิดป้ายสภาวัฒนธรรมในวันที่
26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 ศูนย์วัฒนธรรมแห่งนี้จัดตั้งเพื่อให้ประชาชนได้เข้ามาร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยต่างๆที่มีอยู่
ให้เป็นแหล่งศึกษาข้อมูลทางวัฒนธรรมสำหรับคนรุ่นหลังได้สืบทอดต่อไปอย่างยั่งยืน
ปัจจุบันศูนย์วัฒนธรรมตำบลได้ย้ายจากอาคารเดิมมาอยู่ที่อาคารโรงเรียนปริยัติธรรมของวัดสว่างอารมณ์
เมื่อต้นปี พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมานี้
และเคยได้รับเลือกในโครงการวัฒนธรรมไทย สายใยชุมชน
ระดับดีเด่นของจังหวัดพิษณุโลกเมื่อปีพ.ศ. 2553 อีกด้วย
ผู้ดูแลของศูนย์วัฒนธรรมแห่งนี้หลักๆแล้วจะมีคุณลุงเปี่ยม
ส่งชื่น เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์และประชาชนคอยดูแลและช่วยกันอณุรักษ์รักษาของในศูนย์นี้
หากลุงเปี่ยมทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลไม่ไหวลุงเปี่ยมจะมอบหน้าที่ให้กับผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นลูกเขยเของลุงให้เป็นผู้ดุแลศูนย์วัฒนธรรมต่อจากตนเอง
ส่วนของต่างๆที่อยู่ในศูนย์วัฒนธรรมส่วนใหญ่ได้มาจากการบริจาคจากชาวบ้าน
ลักษณะทั่วไป
เป็นอาคารสองชั้น
ด้านในจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตของชาวบ้านในอดีตและโบราณวัตถุต่างๆเก็บรักษาไว้มากมาย
เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามาศึกษาหาความรู้ในเรื่องของการดำรงชีวิตในอดีต
แผนที่การเดินทาง
ระยะทางจากเทศบาลตำบลท่าทอง
ประมาณ 1 กิโลเมตร
สภาพเส้นทาง ถนนคอนกรีต
ใช้เวลาเดินทาง 15 นาที
สามารถเดินทางได้โดย รถจักรยานยนต์
, รถยนต์ส่วนตัว
แพปลา (วัดศรีรัตนาราม จูงนาง)
สถานที่ตั้ง
หมู่ที่ 4 ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
ประวัติความเป็นมา
เพื่อเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ชุมชนวัดจูงนางร่วมกับ เทศบาลตำบลท่าทอง
จัดสร้างแพปลาโดยได้รับความเมตตาจากเจ้าอาวาสมอบอาหารที่เหลือจากการฉันท์ไปเลี้ยงปลาหน้าวัด
ปัจจุบันมีปลามากมายรวมอยู่หน้าวัด กรมประมงประกาศเป็นเขตอภัยทาน
ลักษณะทั่วไป
เป็นแพกลางน้ำ มีหลังคา
ด้านหน้ามีการจัดจำหน่ายอาหารไว้สำหรับเลี้ยงปลา
เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามาร่วมทำบุญให้อาหารสัตว์ มีพันธุ์ปลามากมาย เช่น ปลาสวาย
ปลาตะเพียน
4. แหล่งเรียนรู้ประเภทวัสดุอุปกรณ์
หมายถึง วัสดุอุปกรณ์ หรือสิ่งมีชีวิต การประกอบอาชีพ
การดำเนินชีวิตประจำวัน ในรูปแบบจำลองของจริง
ซึ่งนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้
การศึกษาในตำบล
ระดับปฐมวัย ได้แก่
ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ตั้งอยู่หมู่ที่
5
ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ตั้งอยู่หมู่ที่
6
ระดับประถมศึกษา ได้แก่
โรงเรียนวัดจุฬามณี ตั้งอยู่หมู่ที่
2
โรงเรียนวัดสว่างอารมณ์ ตั้งอยู่หมู่ที่
6
ระดับมัธยมศึกษา ได้แก่
โรงเรียนท่าทองพิทยาคม
โรงเรียนวัดศรีรัตนาราม (จูงนาง) ตั้งอยู่หมู่ที่
4
โรงเรียนบ้านหนองหัวยาง ตั้งอยู่หมู่ที่
7
โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม
ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 7 ตั้งอยู่ในเขตตำบลท่าทองอีก 1 แห่ง
การสาธารณะสุข
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชนตำบลท่าทอง
ตั้งอยู่หมู่ที่ 5
- สถานที่ราชการอื่นๆ
· ศูนย์บริการร่วมจังหวัดพิษณุโลก
· ศูนย์อุทกวิทยาและน้ำ
· สำนักงานปศุสัตว์
· ธนาคารต่างๆ
· สำนักชลประทานที่ 3
· สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ด้านการประกอบอาชีพนั้นได้แก่
1 การทำน้ำพริกแกง
สถานที่ตั้ง
116
หมู่ที่ 1 (บ้านจูงนางนอก) ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
ประวัติความเป็นมา
นางณัฐริการ
อินดี เป็นผู้ทำการผลิตเครื่องแกง มีทั้งพริกแกงเผ็ด พริกแกงส้ม
ซึ่งคนภายในชุมชนได้มีส่วนร่วมในการผลิตและจัดจำหน่ายตามร้านค้า
ร้ายขายกับข้าวต่างๆในตลาด เป็นการสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านภายในชุมชน
ได้รู้จักพึ่งพาตนเอง
และสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชนได้ทั้งรายได้หลักและรายได้เสริมอีกด้วย
ลักษณะ
เป็นการร่วมมือกันของกลุ่มสตรีภายในหมู่ที่
11 ที่ต้องการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยการนำเอาวัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่น
เช่น พริก ข่า ตะไคร้ มะกรูด มาทำการผลิตเป็นน้ำพริก เช่น พริกแกงเผ็ด พริกแกงส้ม
พริกแกงเขียวหวาน ที่นำมาใช้ในการประกอบอาหาร
ระยะทางจากเทศบาลตำบลท่าทอง
ประมาณ 2.5 กิโลเมตร
สภาพเส้นทาง ถนนคอนกรีต
ใช้เวลาเดินทารง 25 นาที
สามารถเดินทางโดย รถจักรยานยนต์ รถยนต์ส่วนตัว
ผู้ให้ข้อมูล
นางณัฐริการ
อินดี โทรศัพท์ 083-2169663
กลุ่มหัตถกรรม
สถานที่ตั้ง
หมู่ 6 ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
ประวัติความเป็นมา
กลุ่มหัตถกรรมผ้าด้นมือ ได้จัดตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ 2538
มีสมาชิกเริ่มแรก 5 คน จนถึงปัจจุบันมีสมาชิกถึง 35 คน
สินค้าต่างๆในกลุ่มจัดทำขึ้นมีหลากหลายอย่างเช่น ผ้าคลุมเตียง ผ้าห่ม ปลอกหมอน
เป็นต้น ซึ่งในปี พ.ศ 2552
ได้รับโล่รางวัลจากสมาคมสโมสรวัฒนธรรมหญิงในพระบรมราชินูปถัมป์
สาขาผลิตภัณฑ์คุณภาพและได้รับรางวัลสินค้า OPC ปีพ.ศ 2553 ระดับ 5 ดาว
ลักษณะทั่วไป
กลุ่มหัตถกรรมผ้าด้นมือ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของคุณ สุนิตย์
วัสสุตตะมะ โดยมีการจัดทำห้องเพื่อโชว์สินค้าอย่างเรียบร้อยสวยงาม
หน้าบ้านจะมีป้ายชื่อ กลุ่มหัตถกรรมผ้าด้นมืออยู่ ลักษณะพื้นที่เป็นบ้าน 2 ชั้น
โดยคุณสุนิตจัดแบ่งพื้นที่ด้านล่างเป็นแหล่งผลิตสินค้าต่างๆ
ระยะทางจากตำบลท่าทอง
ประมาณ 1
กิโลเมตร
สภาพเส้นทาง ถนนคอนกรีต
ใช้เวลาเดินทาง 15 นาที
สามารถเดินทางได้โดย รถจักรยานยนต์ รถยนต์ส่วนตัว
ผู้ให้ข้อมูล
คุณ สุนิตย์
วัสสุตตะมะ โทรศัพท์ 081-8877278
กลุ่มทำผ้าด้นมือ
สถานที่ตั้ง
กลุ่มผ้าด้นมือ หมู่8 ซอยวังกระบาก1 ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
ประวัติความเป็นมา
กลุ่มผ้าด้นมือได้จัดตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ
2542 สินค้าต่างๆมีหลากหลายอย่างเช่น ผ้าคลุมเตียง ปลอกหมอน
ผ้าห่มนวม และได้รับรางวัลสินค้า OPC ปีพ.ศ 2552 ระดับ 5 ดาว
ลักษณะทั่วไป
ลักษณะที่ตั้งของกลุ่มผ้าด้นมือ
ตั้งอยู่ในพื้นทีของ คุณประสานโตสุข
ซึ่งเป็นประธานกลุ่มผ้าด้นมือแห่งนี้จัดเป็นสถานที่แยกออกจากตัวบ้าน
มีกรจัดโชว์สินค้าและเป็นที่ผลิตสินค้าต่างๆอยู่ที่เดียวกัน
ระยะทางจากตำบลท่าทอง
ประมาณ 1 กิโลเมตร
สภาพเส้นทาง ถนนคอนกรีต
ใช้เวลาเดินทาง 15 นาที่
สามารถเดินทางได้โดยรถจักรยานยนต์ รถยนต์ส่วนตัว
ผู้ให้ข้อมูล
นางประสาน โตสุข
โทรศัพท์ 055-215175 นอกจากนี้ยังมีกลุ่มทำขนมไทยพื้นบ้าน กลุ่มทำขนมจีน
และกลุ่มเลี้ยงปลาในกระชังอีกด้วย
บรรณานุกรม
เทศบาลตำบลท่าทอง. (2560). (ออนไลน์). แหล่งที่มา
: http://www.thathong-pilok.go.th/home.
(สืบค้นวันที่ 18 พฤศจิกายน 2560).
เทศบาลตำบลท่าทอง. (ม.ป.ป). ฐานข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นตำบลท่าทอง.
(รายงาน). พิษณุโลก :
เทศบาลตำบลท่าทอง อำเภอเมือง
จังหวัดพิษณุโลก.
เทศบาลตำบลท่าทอง. (ม.ป.ป). แผนการท่องเที่ยว. (รายงาน). พิษณุโลก : เทศบาลตำบลท่าทอง
อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก.
*สงวนลิขสิทธิ์รูปภาพและข้อมูล(ห้ามคัดลอกหรือนำไปดัดแปลงโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต)
อาจารย์ผู้สอน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์น้อย คันชั่งทอง
จัดทำโดย
นางสาวขวัญเนตร ทุมมี 5912415001
นางสาวธัญญาศิริ เต็มวัน 5912415011
นางสาววรรณพา พันธุ์แตง 5912415016
นางสาว สิริลักษณ์ เสือสี 5912415018
สาขาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์